เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2568 พล.อ. อาวุโส มิน ออง ไลง์ ประธานสภาบริหารแห่งรัฐและนายกรัฐมนตรีเมียนมา ได้เป็นประธานเปิดการประชุมประสานงานการพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ (National Economic Development Coordination Meeting) ณ สำนักงานประธานสภาบริหารแห่งรัฐ กรุงเนปยีดอ และได้กล่าวถ้อยแถลงในที่ประชุมดังกล่าวเน้นย้ำประเด็นที่สำคัญ 4 ด้าน ได้แก่
1. บทบาทของภาคเกษตรกรรมและปศุสัตว์ในการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศ
พล.อ. อาวุโส มิน ออง ไลง์ ได้เน้นย้ำความสำคัญของภาคเกษตรกรรมและปศุสัตว์ ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจของเมียนมา โดยภาคดังกล่าวเป็นแหล่งรายได้หลักของประชาชนชาวเมียนมาและมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนความมั่นคงด้านอาหารของประเทศ นอกจากนี้ เมียนมาจำเป็นที่จะต้องเพิ่มผลผลิตของอาหารหลัก ได้แก่ ข้าว น้ำมันพืช เนื้อสัตว์ และปลา เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ในราคาที่เหมาะสม
พล.อ. อาวุโส มิน ออง ไลง์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ว่าเมียนมาจะมีอัตราการพึ่งพาด้านข้าวในระดับประเทศสูงถึงร้อยละ 170 แต่ยังมีบางพื้นที่ที่ประสบปัญหาขาดแคลนข้าว รัฐบาลเมียนมาจึงเร่งส่งเสริมการใช้เครื่องจักรการเกษตร การปลูกพืชอย่างเป็นระบบ และการปลูกพืชหมุนเวียน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงยังได้เน้นย้ำความสำคัญของการปรับปรุงคุณภาพดิน การใช้ปุ๋ยที่เหมาะสม และการจัดการแหล่งน้ำให้เพียงพอ
2. ความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจทางการเกษตรและปศุสัตว์จะช่วยส่งเสริมการพัฒนาชนบทและลดปัญหาความยากจน พล.อ.อาวุโส มิน ออง ไลง์ กล่าวว่า การพัฒนาเกษตรกรรมและปศุสัตว์จะมีส่วนสนับสนุนการลดความยากจน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทซึ่งมีประชากรมากกว่าร้อยละ 70 ของประเทศอาศัยอยู่ ดังนั้น เมียนมาจำเป็นที่จะต้องพัฒนาโครงการด้านการเกษตรและปศุสัตว์เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน รวมถึงสร้างรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน นอกจากนี้ การพัฒนาพันธุ์พืชและการส่งเสริมการเลี้ยงปศุสัตว์ เช่น ทานตะวัน หัวหอม กระเทียม ไก่ หมู แพะ ปลา และวัว มีความสำคัญเพื่อให้เมียนมาสามารถพึ่งพาตนเองและเพิ่มศักยภาพในการส่งออกในอนาคต
3. การส่งเสริมฝ้ายและไม้ไผ่ให้เป็นอุตสาหกรรมหลักเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
รัฐบาลเมียนมาให้ความสำคัญกับการส่งเสริมฝ้ายและไม้ไผ่ให้เป็นอุตสาหกรรมหลัก โดยเฉพาะไม้ไผ่ซึ่งสามารถพัฒนาเพื่อสร้างรายได้ให้กับชุมชน นอกจากนี้ เมียนมายังมีพื้นที่เพาะปลูกฝ้ายประมาณ 500,000 เอเคอร์ โดยหากสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับฝ้ายได้ ก็จะมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ
4. การส่งเสริม MSMEs ควรให้ความสำคัญกับการใช้วัตถุดิบในท้องถิ่น เพื่อยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์ และเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันระดับสากล
ตั้งแต่ปี 2564 รัฐบาลเมียนมาได้สนับสนุนวิสาหกิจรายย่อย ขนาดกลางและขนาดย่อม (MSMEs) โดยเฉพาะธุรกิจในภาคเกษตรกรรมและปศุสัตว์ โดย MSMEs ส่วนใหญ่จะจำกัดอยู่ในภาคการผลิตอาหารและเครื่องดื่ม จึงจำเป็นที่จะต้องส่งเสริมให้ MSMEs เพิ่มผลผลิตในอุตสาหกรรมอื่น อาทิ เครื่องจักรกล การแปรรูปสินค้า และผลิตภัณฑ์ส่งออก และการผลิตยา นอกจากนี้ พล.อ.อาวุโส มิน ออง ไลง์ กล่าวว่า แม้เมียนมาจะมีแรงงานวัยทำงาน (อายุ 15-65 ปี) กว่า 34.8 ล้านคน แต่มีเพียง 19.14 ล้านคนที่ได้รับการจ้างงาน ดังนั้น เมียนมายังมีแรงงานจำนวนมากที่ไม่ถูกใช้ศักยภาพอย่างเต็มที่ รัฐบาลจึงจำเป็นที่จะต้องสร้างงานโดยลงทุนในเทคโนโลยี การฝึกทักษะ และจัดสรรเงินทุนผ่านสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ
5. ประเด็นอื่น ๆ
5.1 พล.อ. อาวุโส มิน ออง ไลง์ กล่าวถึงการเข้าร่วมประชุมเศรษฐกิจยุโรป–เอเชีย ครั้งที่ 4 (The Fourth Europe-Asia Economic Forum - EEF 2025)) ที่เบลารุส และการเยือน Buryatia ในรัสเซีย ซึ่งได้เห็นความเชี่ยวชาญของประเทศต่าง ๆ ในการพัฒนาเกษตรกรรม การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในฟาร์ม และการส่งออกสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพสูง ซึ่งเมียนมาสามารถนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของตัวเองได้
5.2 ในที่ประชุมดังกล่าว (1) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการวางแผนและการคลังได้รายงานสถานการณ์ทางการเงิน งบประมาณประจำปี 2568-2569 และการใช้กองทุนฉุกเฉินเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ภัยพิบัติ (2) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ปศุสัตว์ และชลประทาน รายงานความคืบหน้าของภาคการเกษตร และการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตจากภาคเกษตรกรรม (3) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานนำเสนอแผนงานการลดการพึ่งพาการนำเข้าพลังงาน การผลิตเชื้อเพลิงคุณภาพสูงงภายในประเทศ และนโยบายการลดการนำเข้าปุ๋ย (4) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมนำเสนอแผนการการเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าที่สำคัญ ได้แก่ เหล็ก เหล็กกล้า ปูนซีเมนต์ และยา การพัฒนาเขตอุตสาหกรรม และการสนับสนุนอุตสาหกรรมการผลิต MSMEs
ที่มา- นสพ. Global New Light of Myanmar