ข้อมูลทั่วไป

ข้อมูลทั่วไป

วันที่นำเข้าข้อมูล 29 ก.ค. 2568

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 12 ธ.ค. 2568

| 3,196 view

Banner_background_0  
     เมื่อเดือนมิถุนายน 2568 ธนาคารโลกได้เผยแพร่รายงาน Myanmar- Economic Monitor June 2025 Economic Aftershocks สรุปว่า เหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ซ้ำเติมสภาพ เศรษฐกิจที่ย่ำแย่ของเมียนมา โดยส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรและปศุสัตว์ ปัญหาไฟดับ และอัตราเงินเฟ้อ โดยธนาคารโลกได้ประเมินมูลค่า
ความเสียหายที่เกิดจากภัยพิบัติดังกล่าวอยู่ที่ประมาณ 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ร้อยละ 14 ของ GDP เมียนมา) สรุปสาระสำคัญของผลกระทบดังกล่าว และประเด็นอื่น ๆ ดังนี้

     1. ผลผลิตทางการเกษตรลดลง เหตุการณ์แผ่นดินไหวทำให้ระบบชลประทานและอาคารจัดเก็บสินค้าได้รับความเสียหายและส่งผลกระทบ ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนแรงงาน นอกจากนี้ปัจจัยอื่น ๆได้แก่สถานการณ์การสู้รบซึ่งทำให้มีพื้นที่ในการทำการเกษตรลดลงและการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศล้วนส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรโดยผลผลิตทางการเกษตรที่สำคัญที่ลดลงในปีงปม. 67/68เมื่อเทียบกับปีงบประมาณก่อนหน้าอาทิข้าว(ลดลงเหลือ 16.3 ล้านตันจาก 17.2 ล้านตัน) และข้าวโพด (ลดลงเหลือ 2.85 ล้านตันจาก 3.1 ล้านตัน) อย่างไรก็ดีแม้ผลผลิตทางการเกษตรจะลดลง แต่เมียนมาได้ส่งออกสินค้าเกษตรมากขึ้นโดยเฉพาะข้าวซึ่งเมียนมาส่งออกมากขึ้นร้อยละ27เมื่อเทียบบปีงบประมาณก่อนหน้าโดยการหยุดชะงักของการขนส่งทำให้ข้าวมีราคาสูงขึ้นทำให้ชาวเมียนมาบริโภคข้าวลดลงและเหลือข้าวสำหรับส่งออกมากขึ้น

    2. ปัญหาไฟดับ ในเดือนมกราคม 2568 เมียนมาสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 1,700 เมกะวัตต์/วัน ซึ่งต่ำกว่าความต้องการพลังไฟฟ้าที่ 4,400 เมกะวัตต์/วัน โดยในช่วงที่ผ่านมาเมียนมาผลิตไฟฟ้าได้ลดลงเนื่องจากกำลังการผลิตก๊าซลดลงโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำมีสภาพเก่าสถานการณ์การสู้รบและภัยธรรมชาติที่ส่งผลต่อระบบส่งและจ่ายไฟฟ้า การขาดแคลนชิ้นส่วนอุปกรณ์โรงไฟฟ้าและการลดลงของงบประมาณในการรักษาและการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า

     3. อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (headline inflation) ของปีงบประมาณ 2567/2568 อยู่ที่ร้อยละ 34.1 สูงขึ้นจากร้อยละ 24.7 ของปี งบประมาณก่อนหน้าเนื่องจากห่วงโซ่อุปทานได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบ นโยบายควบคุมการนำเข้า การขาดแคลนสินค้าใน พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว และ ค่าใช้จ่าย ในการขนส่งสินค้าที่แพงขึ้น โดยราคาสินค้าอาหารสูงขึ้นกว่าร้อยละ 29.5 ในขณะที่ราคาสินค้าที่ไม่ใช่อาหารสูงขึ้นจากร้อยละ 21.6 ไปถึงร้อยละ 36.4

     4. ประเด็นอื่น ๆ ที่สำคัญ

          4.1 ระหว่าง เดือนตุลาคม 2567 – มีนาคม 2568 เมียนมา ได้ดุลการค้าร้อยละ ของ GDP เนื่องจากการบังคับใช้นโยบายควบคุมการนำเข้าและส่งเสริมการส่งออก (export first) โดยเฉพาะสินค้าเกษตร และการหยุดชะงักของการนำเข้าสินค้าทางชายแดนเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบ ทำให้การนำเข้าสินค้าในช่วงดังกล่าวลดลงร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา

       4.2 ตั้งแต่เดือน ตุลาคม 2567 เงินจั๊ตมีเสถียรภาพมากขึ้น เนื่องจากการจำกัดการนำเข้า การส่งเสริมการส่งออก นโยบายควบคุมการทำธุรกรรมทางการเงินที่เป็นสกุลเงินต่างชาติอย่างเข้มข้น การจับกุมร้านแลกเงินอัตราเรทตลาด และ การขายเงินสกุลต่างชาติของธนาคารกลางเมียนมาอย่างต่อเนื่อง

       4.3 ธนาคารโลกคาดการณ์ ดังนี้

             (1) ในปีงบประมาณ 2568/2569 (1 เมษายน 2568 – 31 มีนาคม 2569) เศรษฐกิจของเมียนมาจะหดตัวร้อยละ 2.5 (ปรับลดจากรายงานฉบับล่าสุดในเดือน ธันวาคม 2567 ที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของเมียนมาจะเติบโตร้อยละ 2) และอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ร้อยละ 31 เนื่องจากการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวและความยากลำบากในการขนส่ง

             (2) ในปีงบประมาณ 2569/2570 (1 เมษายน 2569 – 31 มีนาคม 2570) เศรษฐกิจของเมียนมาจะเติบโตร้อยละ 3 เนื่องจากภาคส่วนสำคัญจะเริ่มฟื้นตัว และภาคธุรกิจจะกลับมาดำเนินการได้เหมือนกับในช่วงก่อนแผ่นดินไหวในช่วงต้นปี 2569

     5.  เศรษฐกิจการค้าการลงทุน 

          5.1 ภาวะเศรษฐกิจการค้า- สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาเป็นประเทศเพื่อนบ้านสำคัญของไทย มีพรมแดนติดกัน 2,401 กิโลเมตร มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน มีความสำคัญต่อกันทุกมิติ ทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม ตลอดจนมีความต้องการและนิยมสินค้าไทย โดยเมียนมานอกจากเป็นตลาดการค้าแล้ว สามารถเป็นแหล่งวัตถุดิบและแหล่งผลิตที่สำคัญ เพราะเมียนมามีทรัพยากรที่มีศักยภาพและแรงงานจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม เมียนมามีความท้าทายเรื ่องต่างๆ เช่น ความขัดแย้งกันภายในเมียนมา การสู ้รบปะทะกันบางพื้นที่ กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเรื่องการขอใบอนุญาตนำเข้า (Import License) อัตราแลกเปลี่ยน สภาพคล่องเงินต่างประเทศในเมียนมา การชำระเงินระหว่างประเทศ เงินเฟ้อสูง เงินจ๊าตอ่อนค่า กำลังซื้อลดลง ข้อจำกัด โครงสร้างพื้นฐาน เป็นต้น กล่าวได้ว่าเมียนมาเป็นตลาดที ่มีโอกาสและศักยภาพ แม้จะมีความท้าทายต่างๆ หลายประการ ซึ่งหากสามารถปรับกลยุทธ์ธุรกิจให้รองรับและก้าวข้ามความท้าทายหรือข้อจำกัดต่างๆ ได้ ก็จะเป็นบันไดสู่ความสำเร็จ ปักหมุดในใจคนเมียนมาและตลาดเมียนมาต่อไป กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่า ในปี 2568 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของเมียนมา (GDP) เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 อัตราเงินเฟ้อในปี 2568 ของเมียนมา คาดการณ์อยู่ที่ร้อยละ30 นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ มวลรวมในประเทศต่อหัว (GDP per Capita) อยู่ที่ระดับ 1,180 เหรียญสหรัฐฯ ดังตาราง

ตัวชี้วัดทาง
เศรษฐกิจที่สำคัญ
ปี 2561 ปี 2562 ปี 2563 ปี 2564 ปี 2565 ปี 2566 ปี 2567 ปี 2568
(คาดการณ์)
GDP Growth (%) 6.3% 6.6% -9% -12% 4% 1% -1.1% 1.9%
GDP (billions of USD) 67.05 82.57 65.63 58.26 61.72 61.47 61.18 64.94
GD per Capita (USD) 1,260 1,550 1,220 1,080 1,140 1,120 1,110 1,180
Inflation (%) 7.3 9.1 2.2 9.6 28 25.5 26.5 30

                                                                                                         ที่มา : IMF https://www.imf.org/en/Countries/MMR

          5.2 ข้อมูลด้านเศรษฐกิจ

แรงงาน จำนวนประชากรแรงงาน 22,741,699 ล้านคน (World Bank, 2024)
อัตราการว่างงาน 3% (World Bank, 2024)
ค่าแรงขั้นต่ำต่อวัน 6,800 จ๊าต (ค่าแรงขั้นต่ำ 4,800 จ๊าต Allowance 2,000 จ๊าต)
มูลค่าการค้าระหว่างประเทศ GTA, Jan-June 2025
ส่งออก: 11,754 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
นำเข้า: 15,100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
GTA, Jan-Dec 2024
ส่งออก: 37,731 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
นำเข้า: 30,941 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
สินค้าส่งออกหลัก  เครื่องแต่งกาย ก๊าซธรรมชาติ พืชพันธุ์ ผักต่าง ๆ สินแร่ รองเท้า ยางพารา ปลา สัตว์ น้ำ ไม้ เมล็ดน้ำมัน อัญมณี เป็นต้น
สินค้านำเข้าหลัก น้ำมันสำเร็จรูป เครื่องจักรกล ผ้าทอ เส้นด้าย ยานพาหนะ พลาสติก เหล็ก ปุ๋ย เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์ยา เป็นต้น
ประเทศคู่ค้าหลัก จีน ไทย ญี่ปุ่น เยอรมัน อินเดีย
ตลาดส่งออกที่สำคัญของเมียนมา จีน ไทย อินเดีย ญี่ปุ่น เยอรมัน
ตลาดนำเข้าที่สำคัญของเมียนมา จีน สิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย อินโดนีเซีย
อัตราแลกเปลี่ยน (ต่อ 1 USD) 2,100 เมียนมาจ๊าต ต่อ 1 เหรียญสหรัฐฯ (อัตราทางการ)
อัตราแลกเปลี่ยน (ต่อ 1 บาท) 65.84 เมียนมาจ๊าต เท่ากับ 1 บาท (อัตราทางการ)
Myanmar Market Price, Central Bank of Myanmar, 9 กันยายน 2025


เปรียบเทียบอัตราแลกเปลี่ยนเงินจ๊าตต่อสกุลเงินสำคัญ ในปี 2568

ประเทศ/สหภาพ สกุลเงิน อัตราทางการ อัตราตลาดออนไลน์ อัตราตลาด
USA 1 USD 2,100 MMK 3,629 MMK 4,185 MMK
Euro 1 EUR 2,462.57 MMK 4,255.55 MMK 4,925 MMK
Singapore 1 SGD 1,635.51 MMK 2,826.32 MMK 3,280 MMK
China 1 CNY 294.51 MMK 508.93 MMK 588 MMK
Thailand 1 THB 65.84 MMK 113.78 MMK 132 MMK

ที่มา - Myanmar Market Price, Central Bank of Myanmar, 9 กันยายน 2025
https://forex.cbm.gov.mm/index.php/fxrate

          5.3 โครงสร้างเศรษฐกิจหลักของเมียนมา ได้แก่

                1. ภาคเกษตรกรรม เมียนมาเป็นประเทศเกษตรกรรม มีความอุดมสมบูรณ์หลายด้าน ทั้งเกษตร ประมง เหมืองแร่ ป่าไม้ เป็นต้น 

                2. ภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมขั้นต้น เมียนมามีศักยภาพรองรับหลายอุตสาหกรรม เช่น เกษตรหรืออาหารแปรรูป เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม รวมทั้งมีศักยภาพธุรกิจบริการ เช่น ท่องเที่ยว เป็นต้น ซึ่งภาครัฐส่งเสริมการผลิตและการส่งออกจากเมียนมา ทั้งภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม

          5.4 นโยบายด้านเศรษฐกิจ -เมียนมามีเป้าหมายเกินดุลการค้าระหว่างประเทศในปี 2024-2025 มูลค่า 33 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ6 โดย เป็นการส่งออก 4.4 พันล้านเหรียญฯ และการนำเข้า 3.9 พันล้านเหรียญฯ ในขณะที ่ปี 2024-2025 เมียนมาขาด ดุลการค้า 1.7 พันล้านเหรียญฯ โดยเป็นการส่งออก 4.6 พันล้านเหรียญฯ และการนำเข้า 5.4 พันล้านเหรียญฯ สำหรับสินค้าส่งออกของเมียนมา เช่น สินค้าเกษตร ปศุสัตว์ แร่ธาตุ ผลิตภัณฑ์จากป่าไม้ และสินค้าอุตสาหกรรมที่ผลิตในเมียนมา ส่วนสินค้านำเข้าของเมียนมา เช่น สินค้าทุน ปัจจัยการผลิต วัตถุดิบสำหรับวิสาหกิจ CMP และ สินค้าอุปโภคบริโภค กล่าวได้ว่า นโยบายด้านเศรษฐกิจการค้าของเมียนมา “จำกัดและควบคุมการนำเข้าเท่าที่จำเป็น ในขณะที่ส่งเสริมการผลิตในประเทศและการส่งออกจากเมียนมา”

            -สำหรับกฎระเบียบการค้าโดยเฉพาะการขอใบอนุญาตนำเข้า Import License เพื่อจำกัดและควบคุมการนำเข้าสรุปดังนี้

             1.การค้าชายแดน (Border Trade) ของเมียนมา มีขั้นตอนการพิจารณาใบอนุญาตนำเข้า (Import License) ผ่าน EICC (Export Import Coordinating Committee) ซึ่งเป็นคณะกรรมการชุดเล็ก ซึ่งสะดวกและคล่องตัวกว่าคณะกรรมการชุดใหญ่ หรือ FESC (Foreign Exchange Supervisory Committee) อย่างไรก็ตาม หากเป็นการค้าระหว่างประเทศ ทุกสินค้าต้องผ่าน FESC ส่วนการค้าชายแดนมีเฉพาะ “7 กลุ ่มสินค้า” ที ่ต้องขอ Import License ผ่าน FESC ได้แก่ 1.ปุ๋ย 2.เหล็ก 3.ผลิตภัณฑ์ Solar และที่เกี่ยวข้อง 4.เม็ดพลาสติก (Polypropylene) 5.วัตถุดิบเพื่อผลิตพลาสติก 6.ยานยนต์ commercial use และ 7.เครื่องจักร commercial use

             2. สำหรับ “5 กลุ่มสินค้า” ที่ได้รับการยกเว้น ผ่อนคลายให้สามารถเก็บไว้ในคลังสินค้าทัณฑ์บน (Bonded Warehouse) ได้ ก่อนได้รับ Import License ได้แก่ 1.ยา 2.รถยนต์ไฟฟ้า 3.วัตถุดิบผลิตอุตสาหกรรมและเคมีภัณฑ์ 4.วัตถุดิบผลิตอาหาร และ 5.วัตถุดิบและอุปกรณ์เพื่อการผลิตสินค้าเครื่องนุ่งห่ม (CMP)

             3. การพิจารณาใบอนุญาตนำเข้า (Import License) มี Priority List กลุ่มสินค้านำเข้า 3 ลำดับ ความสำคัญ ดังนี้ ลำดับ 1 ได้แก่ ปัจจัยการผลิตสินค้าเกษตร วัตถุดิบเพื ่อการผลิต ยา น้ำมันเชื้อเพลิง ลำดับ 2 ได้แก่ วัสดุก่อสร้าง เครื่องจักรและชิ้นส่วน ลำดับ 3 ได้แก่ สินค้าอุปโภคบริโภค ยานยนต์สำหรับใช้เชิงพาณิชย์ 

              -โดยกฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีความสำคัญยิ่ง ซึ่งภาคเอกชนต้องติดตามประกอบกับข้อมูลอื่นๆ เช่นความต้องการตลาด การแข่งขัน สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปพิจารณาและปรับใช้วางแผนธุรกิจให้เหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ แม้เมียนมาจะมีความท้าทายหลายประการ อย่างไรก็ตาม เมียนมาก็มีศักยภาพและโอกาสอีกมาก หากปรับแผนธุรกิจได้

          5.5 การนำเข้าสินค้าเข้าเมียนมาต้องจับคู่กับ Export Earning ตั้งแต่ 1 กันยายน 2567  โดยเรื่องการขอใบอนุญาตนำเข้าหรือ Import License เมียนมาประกาศให้ "การนำเข้ายา ต้องจับคู่กับ Export Earning" ตั้งแต่ 1 กันยายน 2567 โดยใบอนุญาตนำเข้า (Import License) และการชำระเงินการนำเข้า พิจารณาโดยคณะกรรมการกำกับดูแลอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (FESC: Foreign Exchange SupervisoryCommittee) ของเมียนมา โดยคาดว่าจะมีผลกระทบต่อการนำเข้า “สินค้าอื่นๆ” ด้วย เพราะขนาดยาซึ่งเป็นสินค้านำเข้าจำเป็นยังต้องจับคู่กับ Export Earning รวมทั้ง Export Earning หาไม่ง่ายและมีไม่เพียงพอกับการ นำเข้าทั้งหมด นอกจากนี้ เป็นห่วงว่าถ้าหา Export Earning ไม้ได้ และไม้ได้ Import License แล้ว ก็อาจมีผลกระทบเกิดเป็นสินค้าลักลอบนำเข้ามากขึ้น อย่างไรก็ตามเมียนมามีความต้องการตลาดและนิยมสินค้าไทย เป็นตลาดที่มีโอกาสและศักยภาพ อย่างไรก็ตาม มีความท้าทายต่างๆ เช่นเรื่องกฎระเบียบ Import License ที่ต้องจับคู่กับ Export Earning ข้างต้น ซึ่งมีแนวทางให้ภาคเอกชนพิจารณาปรับแผนธุรกิจรองรับเพื่อก้าวข้ามความท้าทาย อาทิการหา Export Earning จับคู่กับการนำเข้าสินค้าต่างๆ เพื่อประกอบการขอ Import License การพิจารณา ปรับรูปแบบธุรกิจจากการส่งออกสินค้าที่ผลิตจากไทย เป็นการผลิตในเมียนมามากขึ้น เช่น การจ้างผลิต (OEM) ในเมียนมา การร่วมลงทุนหรือร่วมการผลิตในเมียนมา

          5.6 เมียนมาผ่อนคลายกฎระเบียบรายได้การส่งออก (Export Earning) เป็นอัตราตลาดมากขึ้น  เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2567 ธนาคารกลางเมียนมา หรือ CBM (Central Bank of Myanmar) ออกประกาศปรับสัดส่วนรายได้การส่งออก (Export Earning) เป็นอัตราตลาดมากขึ้น (จากเดิม 65:35 ผ่อนคลายเป็น 75:25)  โดยรายได้การส่งออก 100% แลกอัตราตลาดออนไลน์ 75% และอัตราทางการ 25% มีผลตั้งแต่ 8 สิงหาคม 2567 โดยการผ่อนคลายกฎระเบียบให้สัดส่วนรายได้การส่งออกเป็นอัตราตลาดมากขึ้นเป็นสัญญาณที่ดี ช่วยให้มีเงินต่างประเทศเข้าระบบมากขึ้น เพิ่มสภาพคล่องเงินต่างประเทศในเมียนมา ส่งผลดีต่อการให้ Import License ได้ มากขึ้น เพิ่มสภาพคล่องการแลกเงินต่างประเทศเพื่อชำระค่านำเข้าในเมียนมาได้มากขึ้น เพิ่มโอกาสให้ผู ้นำเข้า สามารถจับคู่การนำเข้ากับ Export Earning เพื่อประกอบการขอ Import License ได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม อัตราตลาด ดังกล่าวเป็นอัตราตลาดออนไลน์ (3,300-3,400 จ๊าตต่อ เหรียญฯ) ที่แม้จะมากกว่าอัตราแลกเปลี่ยนทางการ (2,100จ๊าตต่อเหรียญฯ) แต่ก็น้อยกว่าอัตราตลาดจริง (5,300-5,600 จ๊าตต่อเหรียญฯ) ดังนั้น แม้จะผ่อนคลายมากขึ้น กว่าเดิมซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี แต่ก็ยังมีช่องว่างระหว่างอัตรา ตลาดออนไลน์กับอัตราตลาดจริง จึงต้องติดตามต่อไปว่าเรท ตลาดออนไลน์จะปรับขึ้นให้ใกล้เคียงเรทตลาดจริงมากขึ้น ซึ่งจะจูงใจให้มีเงินต่างประเทศเข้าระบบการเงินเมียนมามากขึ้นและ เพิ่มสภาพคล่องเงินต่างประเทศในเมียนมาต่อไป